การฝังเข็มรักษาโรคได้อย่างไร?

ตามทฤษฎีการแพทย์จีน ร่างกายของคนเราจะมีเลือดและลมปราณไหลหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งร่างกาย เป็นพลังงานทำให้อวัยวะต่างๆสามารถเคลื่อนไหวทำงาน และมีการทำงานที่ประสานสอดคล้องกัน ทำให้ร่างกายสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เมื่อมีเหตุมาทำให้การไหลเวียนของเลือดลมปราณเกิดการติดขัด อวัยวะต่างๆก็จะทำงานผิดปกติไป ร่างกายจึงเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา

บรรพบุรุษชาวจีนในยุคโบราณได้ค้นพบว่า การใช้เข็มปักลงไปยังจุดบางตำแหน่งในร่างกาย สามารถกระตุ้นลมปราณให้ไหลเวียนต่อไปได้โดยไม่ติดขัด จึงทำให้อวัยวะที่ทำงานผิดปกติไปนั้นกลับคืนสู่สภาพปกติ จากนั้นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นก็จะหายไปได้

ตามทฤษฎีการแพทย์สมัยใหม่นั้น การฝังเข็มเป็นวิธีการกระตุ้นระบบประสาทอย่างหนึ่ง ที่สามารถปรับการทำงานของระบบต่างๆภายในร่างกายที่เสียสมดุลไปให้กลับสู่สภาพปกติโดยผ่านทางระบบประสาท ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า “Neuromodulation”

กลไกการออกฤทธิ์รักษาโรคของการฝังเข็ม

กลไกการรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม

นักวิทยาศาสตร์และแพทย์พบว่าเมื่อปักเข็มลงไปยังจุดหนึ่งๆบนร่างกายแล้วทำการกระตุ้นจะสามารถกระตุ้นตัวรับสัญญาณประสาท(receptor)ได้หลายชนิด ที่กระจายอยู่ในแต่ละชั้นของเนื้อเยื่อ ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง, เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง, เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ, กล้ามเนื้อ,เส้นประสาท, หลอดเลือดและเยื่อหุ้มกระดูก เป็นต้น ทำให้เกิดสัญญาณประสาทจำนวนมากวิ่งกระจายเข้าสู่ไขสันหลังและสมอง

สัญญาณประสาทส่วนหนึ่งจะย้อนออกมาจากไขสันหลัง เกิดเป็นวงจรสะท้อนกลับ(reflex) ไปทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อและอวัยวะบริเวณใกล้เคียงที่ถูกเข็มปัก เช่น มีการขยายตัวของหลอดเลือด มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว การกระตุ้นเข็มยังสามารถกระตุ้นเซลล์บริเวณรอบๆเข็ม ให้มีการหลั่งสารชีวเคมีจำพวก cytokines, growth factors ชนิดต่างๆจำนวนมากออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สาร myokines ที่สร้างมาจากเซลล์กล้ามเนื้อ

สัญญาณประสาทส่วนหนึ่งจะเคลื่อนที่ขึ้นไปตามไขสันหลัง เข้าไปกระตุ้นเซลล์ประสาทต่างๆที่กระจายอยู่ในไขสันหลังและสมอง ทำให้มีการหลั่งสารชีวเคมีภายในร่างกายจำนวนหลายชนิดออกมา ซึ่งเป็น “สารสื่อสัญญาณประสาท”(neurotransmitter) และฮอร์โมนต่างๆ อาทิเช่น สารเอนดอร์ฟิน(endorphin), ACTH, GnRH, FSH, LH, Oxytocin, Cathecholamines, Corticosteroids ฯลฯ เป็นต้น สารชีวเคมีเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อไปออกฤทธิ์ยังเป้าหมาย

เซลล์ประสาทในไขสันหลังและสมองที่ถูกกระตุ้นจากการฝังเข็มนั้น จะมีการส่งสัญญาณประสาทตอบสนองออกมาตามระบบประสาทส่วนปลายและระบบประสาทอัตโนมัติ แล้วไปออกฤทธิ์ร่วมกับสารชีวเคมีที่หลั่งมาจากสมองและจากบริเวณที่ปักเข็ม ก่อให้เกิดผลทางสรีรวิทยาต่างๆ หลายอย่าง เพื่อร่วมกันออกฤทธิ์ในการรักษา ดังต่อไปนี้

  • ยับยั้งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อได้รับอันตราย
  • ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่อยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ไวเกิน ยับยั้งปฏิกิริยาการอักเสบ
  • ปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆที่ผิดปกติไปให้กลับสู่สภาพสมดุลตามปกติ
  • ปรับการหลั่งฮอร์โมนหลายอย่างให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อปรับให้อวัยวะต่างๆทำงานเป็นปกติ
  • กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่ปักเข็มและเนื้อเยื่อใกล้เคียง ช่วยลดการคั่งของเลือด,น้ำเหลืองและสารน้ำในเนื้อเยื่อ ลดภาวะบวม ช่วยทำให้มีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ลดการคั่งค้างสารของเสีย ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีการบาดเจ็บ ได้รับการซ่อมแซมและฟื้นตัว
  • ปรับการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งคลายตัว ช่วยแก้ไขภาวะหดเกร็ง ตรงกันข้ามการฝังเข็มยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อหดตัวได้แรงขึ้น แก้ไขภาวะกล้ามเนื้อลีบอ่อนแรง
  • กระตุ้นการฟื้นตัวของเซลล์และเนื้อเยื่อที่มีการบาดเจ็บเสียหายให้คืนมาได้ เช่น เซลล์ประสาท, กล้ามเนื้อ, หลอดเลือด,เอ็น,กระดูกอ่อน เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติการออกฤทธิ์ที่สำคัญมาก การฝังเข็มจึงมิใช่เป็นเพียงแต่การรักษา "ตามอาการ" แต่เป็นการรักษาที่แก้ไข "พยาธิสภาพต้นเหตุ" ได้ด้วย

ตัวอย่างเช่น

  • M.Sanberg และคณะ (2003) ทดลองในอาสาสมัคร พบว่า การฝังเข็มสามารถกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณที่ปักเข็มให้เพิ่มมากขึ้นได้ถึง 60-70%
  • Gerta Vrbova(2008) พบว่า เมื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้มีการหดตัว สามารถกระตุ้นให้เกิดการงอกของหลอดเลือดฝอยภายในกล้ามเนื้อได้
  • Andrew Dimitrijevic(1999) ใช้การฝังเข็มกระตุ้นด้วยไฟฟ้า กระตุ้นแผลผ่าตัดในหนูทดลอง พบว่า สามารถกระตุ้นการงอกของเซลล์ผิวหนัง ให้สมานแผลเร็วขึ้นได้ถึง 55%
  • Zhang-ge Yu et al. (2016) ใช้การฝังเข็มกระตุ้นด้วยไฟฟ้ารักษาอาการฟกช้ำของกล้ามเนื้อน่องของกระต่าย พบว่า สามารถกระตุ้นการสร้างใยกล้ามเนื้อใหม่และส่วนเชื่อมต่อกับเส้นประสาทได้ ทำให้มีการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อดีกว่ากระต่ายที่ไม่ได้ฝังเข็มรักษา
  • Yan Zhang et aI (2016) ใช้การฝังเข็มกระตุ้นด้วยไฟฟ้ารักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่า สามารถลดการทำลายกระดูกอ่อนลงได้ กระบวนการซ่อมแซมกระดูกอ่อนนี้ เกี่ยวข้องกับสารซีวเคมี growth factor ชนิดต่างๆ
  • Kim EH et al (2002) พบว่า เมื่อฝังเข็มกระตุ้นจุดจู๋ซานหลี่ที่ขา สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทในสมองของหนูทดลองได้
  • Qing Yan et al (2009) ทำการทดลองในหนูที่มีการบาดเจ็บไขสันหลัง พบว่าการฝังเข็มกระตุ้นด้วยไฟฟ้า สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของสเต็มเซลล์และการงอกของเส้นประสาทได้
  • Weiqin Peng และคณะ (2020) ทำการทดลองในอาสาสมัครพบว่า เมื่อฝังเข็มกระตุ้นที่แขน สามารถกระตุ้นการทำงานของเปลือกสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวให้มากขึ้นได้
  • Wong CL,Wong VC (2008) รายงานการฝังเข็มรักษาผู้ป่วยอัมพาตใบหน้าแบบเบลล์รายหนึ่งที่เป็นเรื้อรังมานาน 7 ปี โดยใช้เวลารักษา 2 เดือน พบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้ประมาณ 60-70%
  • Hua Gu (2009) รายงานกรณีผู้ป่วยกระดูกต้นแขนหักรายหนึ่งอายุ 72 ปี ผ่านการผ่าตัด 4 ครั้ง รวมเวลารักษาเกือบ 3 ปี กระดูกยังไม่สามารถสมานติดกันได้ หลังจากผ่านการฝังเข็มรักษาร่วมกับการออกกำลังกาย 4 เดือน สามารถกระตุ้นให้กระดูกสมานติดกันได้เป็นผลสำเร็จ
  • ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจากเส้นเลือดสมองแตกรายหนึ่ง ได้รับการผ่าตัดเอาก้อนเลือดและเนื้อสมองบางส่วนออกเมื่อ 2 ปี 3เดือนก่อนไปแล้ว หลังจากผ่านการฝังเข็มรักษา 7 ปี สามารถฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ (รายงานผู้ป่วยส่วนบุคคล 2002-2009)
  • ผู้ป่วยมีอาการชาฝ่ามือหลังจากถูกกระจกบาดมือตัดเส้นประสาทเมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากฝังเข็มรักษา 6 สัปดาห์ อาการชาทุเลาลงได้จนเกือบปกติ (รายงานผู้ป่วยส่วนบุคคล 2009)

ลักษณะพิเศษบางประการของฤทธิ์รักษาของการฝังเข็ม

1) ฤทธิ์รักษาของการฝังเข็มจะเกิดขึ้นในลักษณะ "หลายมิติ (multi-dimension effect)" เนื่องจากเข็มที่ปักลงไปจะแทรกผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้นหลายชนิด เมื่อทำการกระตุ้นจึงมีการกระตุ้นเซลล์และเนื้อเยื่อหลายชนิดไปด้วยกันตั้งแต่ผิวหนังไปจนถึงกระดูก ทำให้มีผลทางสรีรวิทยาเกิดขึ้นหลายแบบและหลายระดับความลึก นอกจากนี้แล้ว การปักเข็มมักจะมีหลายตำแหน่ง ทำให้พื้นที่การกระตุ้นเกิดกระจายเป็นพื้นที่กว้างมากขึ้น ฤทธิ์การรักษาที่เกิดขึ้นหลายอย่างๆนั้น จึงมีลักษณะ"หลายมิติ" โดยเกิดขึ้นทั้งในระดับความลึกและความกว้าง ผลการรักษาของการฝังเข็มจึงเป็นผลรวมจากฤทธิ์รักษาหลายๆด้านมาประกอบด้วยกัน

ตัวอย่างเช่น ในการฝังเข็มรักษาโรคเข่าเสื่อมนั้น การฝังเข็มจะออกฤทธิ์ระงับปวด ขณะเดียวกัน จะออกฤทธิ์ลดการอักเสบ, ลดบวม, คลายกล้ามเนื้อ, เพิ่มการไหลเวียนเลือดและกระตุ้นการฟื้นตัวซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณเข่าที่บาดเจ็บเสียหายไปด้วย เป็นต้น

2) ฤทธิ์รักษาของการฝังเข็ม ไม่เพียงแต่แสดงออก ณ บริเวณที่ปักเข็มเป็นลักษณะ "เฉพาะที่( local effect)" เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อส่วนอื่นๆของร่างกายเป็นลักษณะ "ทั่วร่างกาย( general effect)" อีกด้วย

ตัวอย่างเช่น ในขณะปักเข็มรักษาอาการปวดเข่า นอกจากการฝังเข็มจะออกฤทธิ์รักษาต่อข้อเข่าแล้ว การฝังเข็มยังจะออกฤทธิ์ปรับการทำงานของสมอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายหรือง่วงนอน การเต้นหัวใจและการหายใจมักจะผ่อนช้าลงเล็กน้อย ฤทธิ์ลดการอักเสบนอกจากจะเกิดขึ้นที่เข่าแล้ว ยังออกฤทธิ์ลดการอักเสบบริเวณอื่นๆของร่างกายที่มีอยู่ควบคู่ไปด้วย เป็นต้น

3) ฤทธิ์รักษาของการฝังเข็มสามารถแสดงออกได้ 2 ลักษณะที่ตรงข้ามกัน ซึ่งเรียกว่า "ทวิลักษณะ(Dual effect)" โดยมีลักษณะ "ปรับสมดุล" ทำให้การทำงานของระบบต่างๆเข้าสู่เกณฑ์ปกติ

ตัวอย่างเช่น ในภาวะที่หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เมื่อปักเข็มที่จุด "เน่ยกวาน" บริเวณเหนือข้อมือ สามารถทำให้หัวใจเต้นช้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ในภาวะที่มีการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ การปักเข็มกระตุ้นจุด "เน่ยกวาน" จะไม่สามารถทำให้หัวใจเต้นช้าลงไปได้อีก แต่กลับจะเพิ่มการเต้นหัวใจให้เร็วขึ้นมาสู่ปกติแทน ถ้าหัวใจเต้นอยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่แล้ว การปักเข็มกระตุ้นจุด"เน่ยกวาน"นี้ จะไม่แสดงผลเปลี่ยนแปลงต่อการเต้นหัวใจดังกล่าวหรืออาจช้าลงเล็กน้อยในเกณฑ์ปกติเนื่องจากผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย เป็นต้น

4) ฤทธิ์รักษาของการฝังเข็มอาจสามารถแสดงผลได้แบบ "ผลทันที(immediate effect)" ในระหว่างการกระตุ้นหรือหลังเสร็จสิ้นการรักษา เช่น ฤทธิ์ระงับปวด, ฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน,ฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ แต่ฤทธิ์บางอย่างจะแสดงออกให้เห็นเป็นแบบ "ผลภายหลัง(delayed effect)" หลังจากผ่านการรักษาไปแล้วระยะหนึ่ง เช่น ฤทธิ์ลดการอักเสบ มักจะปรากฏหลังจากฝังเข็มไปแล้ว 2-3 วัน, ฤทธิ์รักษาอัมพาต,ฤทธิ์รักษากลุ่มอาการวัยหมดประจำเดือน อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผล เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับกลไกการออกฤทธิ์และกระบวนการฟื้นตัวหรือซ่อมแซมตัวของเซลล์และเนื้อเยื่อในแต่ละโรค เป็นสำคัญ

5) ฤทธิ์การฝังเข็ม มีลักษณะ "สะสม( accumulation effect)" กล่าวคือ การฝังเข็มในครั้งแรกๆ อาจจะไม่เห็นผล แต่เมื่อทำการกระตุ้นรักษาต่อเนื่องไประยะหนึ่ง ฤทธิ์การฝังเข็มก็จะปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ขึ้นกับกลไกการออกฤทธิ์และกระบวนการฟื้นตัวหรือซ่อมแซมตัวของเซลล์และเนื้อเยื่อ เป็นสำคัญ เช่นกัน

6) เข็มที่ปักลงไปนั้น ไม่มีการใช้ยาหรือสารเคมีใดๆเคลือบหรือใส่ลงไปด้วย ฤทธิ์ในการรักษาโรคเกิดจากการ กระตุ้นระบบต่างๆภายในร่างกายให้ปรับตัวเองสู่ภาวะสมดุล การฝังเข็มจึงไม่มีอันตรายจากการใช้เกินขนาด หรือการเกิดพิษเหมือนเช่นกับการใช้ยา

7) เนื่องจากสัญญาณประสาทที่เกิดจากการปักและกระตุ้นเข็ม จะกระจายไปอย่างกว้างขวางทั่วทั้งระบบประสาท และสามารถส่งต่อการทำงานของระบบภายในร่างกายได้ทุกระบบ ฤทธิ์ในการรักษาโรคของการฝังเข็มจึงกว้างขวางมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากรายชื่อตัวอย่างโรคและอาการผิดปกติต่างๆที่สามารถฝังเข็มรักษาได้ ตามการรับรองขององค์การอนามัยโลก (การฝังเข็มรักษาโรคอะไรได้บ้าง)

อย่างไรก็ตาม การฝังเข็มมิใช่ “เข็มวิเศษ” ที่จะสามารถรักษาได้ทุกโรคหรือทุกคน แต่มันมีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นโรคที่มีพยาธิสภาพของอวัยวะเสียหายรุนแรงหรือเป็นเรื้อรังมานาน หรือเป็นผู้สูงอายุที่อวัยวะต่างๆของร่างกายเสื่อมสภาพมาก ไม่ว่าจะฝังเข็มกระตุ้นอย่างไร ร่างกายก็อาจจะไม่ตอบสนอง การรักษาก็อาจจะไม่ได้ผลดีตามที่คาดไว้ จึงต้องพิจารณาผลการรักษาเป็นรายๆประกอบไปด้วย