การเตรียมตัวก่อนไปฝังเข็ม?

กล่าวสำหรับคนไทยเราแล้ว การฝังเข็มยังเป็นเรื่องแปลกใหม่ เมื่อจะไปรักษามักมีความกังวลหรือหวาดกลัว ไม่รู้ว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? ทำให้ความร่วมมือในการรักษาไม่ราบรื่น ผลการรักษาจึงอาจไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นก่อนไปฝังเข็ม ผู้ป่วยก็ควรต้องมีการเตรียมตัวด้วย

1. เตรียมใจไปรักษา

การฝังเข็มนั้นเป็นการรักษาที่มีลักษณะเป็น “หัตถการ” ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยหวาดกลัวดิ้นไปมาโดยเฉพาะถ้าเป็นเด็ก แพทย์อาจจะปักเข็มได้ไม่ถนัดหรือผิดพลาด ผลการรักษาย่อมไม่ดีหรือกระทั่งอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ผู้ป่วยที่มารักษาจึงควรมาด้วยความมั่นใจต่อการรักษามิใช่มาด้วยความวิตกกังวลหรือหวาดกลัว

หากได้รับคำอธิบาย เกี่ยวกับการรักษาจากแพทย์แล้ว ผู้ป่วยยังรู้สึกหวาดกลัวมาก ควรงดรักษาด้วยการฝังเข็ม เพราะผลการรักษามักจะไม่ค่อยดีเสมอ ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียดเป็นจำนวนมากออกมาต่อต้าน

2. สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม

ในการฝังเข็ม ตำแหน่งจุดปักเข็มบางครั้งจะอยู่บริเวณใต้ร่มผ้า ผู้ป่วยจึงควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นชุดแยกส่วนระหว่างเสื้อกับกระโปรงหรือกางเกง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ควรรัดแน่นเกินไปเพื่อสะดวกในการถลกพับ แขนเสื้อและปลายขากางเกงควรให้หลวมหรือกว้างพอที่จะพับสูงขึ้นมาเหนือข้อศอกหรือข้อเข่าได้ ไม่ควรสวมถุงน่อง

ในกรณีที่ต้องปักเข็มบริเวณไหล่หรือต้นคอ ก็ควรเลือกสวมเสื้อที่มีคอกว้าง ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัมพาต ควรสวมเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้น จะทำให้แพทย์ปักเข็มได้สะดวก

3. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ

โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีข้อจำกัดด้านอาหารที่เข้มงวดมากนัก ผู้ป่วยที่มาฝังเข็มควรรับประทานอาหารมาก่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานอาหารมากจนเกินไป หากเพิ่งรับประทานอาหารอิ่มมาใหม่ๆหรือรับประทานมากเกินไป อาหารยังคงค้าง อยู่ในกระเพาะอาหารมาก เมื่อมาฝังเข็มซึ่งต้องนอนเป็นเวลานานๆ ถึง 20-30 นาที อาจทำให้รู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในท่านอนคว่ำ นอกจากนี้ หากต้องปักเข็มบริเวณหน้าท้อง ถ้ากระเพาะอาหารมีอาหารบรรจุ จนพองโตมากๆ อาจทำให้เกิดอันตรายจากการปักเข็มทะลุช่องท้อง หรือกระเพาะอาหารได้ง่าย

ตรงกันข้าม ไม่ควรมารักษาในขณะที่กำลังหิวจัด เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการ “หน้ามืดเป็นลม” ได้ง่ายเมื่อกระตุ้นเข็มแรงๆ ทั้งนี้เพราะว่า ร่างกายอาจขาดพลังงานที่จะเอามาใช้เผาผลาญ ในขณะที่ระบบประสาทและฮอร์โมนกำลังถูกกระตุ้นจากการฝังเข็ม

4. ทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย

การฝังเข็มเป็นหัตถการที่ต้องใช้วัตถุแหลมคมปักผ่านผิวหนังลงไปในร่างกาย ผู้ป่วยจึงควรมีสภาพร่างกายที่สะอาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากผู้ป่วยสามารถอาบน้ำสระผมมาก่อนได้นั่นก็จะดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็อย่าให้ส่วนของร่างกายบริเวณที่ต้องปักเข็มนั้นสกปรกจนเกินไป

ผู้ป่วยสตรีที่กำลังมีประจำเดือนมานั้น สามารถปักเข็มรักษาได้ โดยไม่มีอันตรายอะไรเลย การที่ไม่นิยมฝังเข็มในช่วงนี้คงเป็นเรื่องของความไม่สะดวกหรือความกระดากอายมากกว่า

ผู้ป่วยควรขับถ่ายปัสสาวะอุจจาระให้เรียบร้อยก่อนฝังเข็ม เพื่อมิให้การรักษาต้องหยุดชะงักลงกลางคัน เนื่องจากผู้ป่วยอาจปวดท้องอยากถ่ายในระหว่างรักษา

5. ผ่อนคลายในขณะรักษา

เมื่อแพทย์ปักเข็มลงบนผิวหนัง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยคล้ายกับ "ถูกมดกัด" เมื่อปักเข็มลึกลงไปถึงถึงชั้นกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยจะรู้สึกตื้อๆ หรือหนักๆ หรือชาเล็กน้อย เมื่อแพทย์เริ่มทำการกระตุ้นหมุนปั่นเข็ม ก็จะรู้สึกตื้อหรือหนักชามากขึ้น หากความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น มักจะมีผลการรักษาดีเสมอ ในกรณีที่ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณที่ปักเข็มเต้นกระตุกเบาๆ เป็นจังหวะตามกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้น

โดยทั่วไปแล้วในระหว่างกระตุ้นฝังเข็มผู้ป่วยไม่ควรมีอาการเจ็บปวดหรือชามากจนเกินไป หากรู้สึกเจ็บปวดมากหรือมีอาการชามากๆ หรือรู้สึกเหมือนถูก “ไฟฟ้าช๊อต” ควรรีบบอกแพทย์ทันที เพราะเข็มอาจจะไปโดนเส้นเลือดหรือ เส้นประสาท หรือตำแหน่งของเข็มไม่ถูกต้อง หรือตั้งความแรงของกระแสไฟฟ้าจาก เครื่องกระตุ้นไม่เหมาะสมก็ได้ แพทย์จะได้ปรับแก้ไขให้เรียบร้อย

ในระหว่างรักษา หากมีอาการผิดปกติหรือไม่สบายใดๆเกิดขึ้น เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้ามืด รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนจะเป็นลม ให้รีบบอกแพทย์ผู้รักษาหรือผู้ช่วยแพทย์ทันที

ขณะที่มีเข็มปักคาร่างกายนั้นควรนั่งหรือนอนนิ่งๆ ไม่ควรขยับเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายที่มีเข็มปักคาอยู่ เพราะอาจทำให้เข็มงอหรือหักคาเนื้อได้ แต่ร่างกายส่วนอื่นๆที่ไม่มีเข็มปักอยู่นั้นสามารถขยับเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย

การฝังเข็มนั้นเป็นการกระตุ้นระบบประสาทเพื่อปรับการทำงานของอวัยวะระบบต่างๆให้สู่สภาพสมดุล ถ้าหากมีสิ่งใดมารบกวนระบบประสาทมากไปในขณะที่กำลังกระตุ้น กลไกการปรับสมดุลของการฝังเข็มก็ย่อมจะถูกกระทบกระเทือนไปด้วย ระหว่างที่ปักเข็มรักษา ผู้ป่วยจึงควรอยู่ในสภาพที่สงบผ่อนคลาย อาจหลับตาและหายใจเข้าออกช้าๆให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอร่วมไปด้วย

ในระหว่างที่ปักเข็มกระตุ้นอยู่นั้น ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกง่วงนอน เนื่องจาก การฝังเข็มสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่ง สารเอนดอร์ฟีน (endorphins) เกิดขึ้น สารนี้มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนช่วยลดความเจ็บปวดและ ช่วยกล่อมประสาทให้รู้สึก เคลิบเคลิ้ม เมื่อรักษาไปหลายๆครั้ง ผู้ป่วยบางคนจะพบว่าตนเองนอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือหลับสนิทขึ้น และจิตใจก็จะสดชื่น แจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้ว

6. การปฏิบัติตัวหลังการรักษา

หลังจากกระตุ้นเข็มครบเวลาตามกำหนด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีแล้ว แพทย์ก็จะถอนเข็มออก บางครั้งอาจมีเลือดออกเล็กน้อยตรงจุดที่ปักเข็ม เหมือนกับเวลาไปฉีดยา เนื่องจากเข็มอาจปักไปถูกเส้นเลือดฝอยเล็กๆ เมื่อใช้สำลีกดเอาไว้สักครู่ เลือดก็จะหยุดได้เอง

หลังเสร็จสิ้นจากการรักษา โดยทั่วไปแล้วไม่มีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษ ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร อาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ตามปกติ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกลับไปนอนพักที่บ้านแต่อย่างไร สามารถขับรถหรือกลับไปทำงานได้ เว้นแต่บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียได้บ้างหลังจากฝังเข็ม เมื่อนอนพักแล้วก็จะหายไปได้เอง

7. การรักษาอื่นๆร่วมกับการฝังเข็ม

ผู้ป่วยที่มารักษาฝังเข็ม อาจมีโรคประจำตัวอย่างอื่นอยู่แล้วเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ ซึ่งมักจะต้องมียารับประทานรักษาอยู่แล้วเป็นประจำหรือมีการรักษาอื่นๆเช่น กายภาพบำบัด ร่วมอยู่ด้วย โดยทั่วไปแล้วสามารถทำฝังเข็มรักษาร่วมไปด้วยได้ ทั้งนี้ขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ในแต่ละครั้งที่มารักษา

8. ข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการในการฝังเข็ม

8.1) ผู้ป่วยที่ตื่นเต้นหวาดกลัวต่อการรักษามากเกินไปทั้งๆที่ได้พยายามควบคุมจิตใจตนเองอย่างเต็มที่แล้วยังไม่สามารถระงับความกังวลได้ ควรงดฝังเข็ม

8.2) ผู้ป่วยที่เหน็ดเหนื่อยหลังออกกำลังกายหนักมาใหม่ๆ ควรงดฝังเข็ม

8.3) สตรีตั้งครรภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้คลอด ควรงดฝังเข็ม เพราะว่าผู้ป่วยเหล่านี้มักจะไม่สามารถนอนหรือนั่งเป็นเวลานานๆได้ การนอนหงายจะทำให้มดลูกและทารกในครรภ์กดทับหลอดเลือดดำใหญ่ในช่องท้องอาจทำให้ผู้ป่วยมีความดันเลือดต่ำเกิดอาการเป็นลมได้ ส่วนท่านอนคว่ำก็ไม่เหมาะสมกับสตรีขณะตั้งครรภ์ เพราะจะกดทับทารกในครรภ์และก่อให้เกิดความอึดอัด ไม่สบายแก่มารดา นอกจากนี้แล้วการปักเข็มที่รุนแรงอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากเกินไป จนทำให้เกิดการแท้งลูกได้

8.4) ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดที่เลือดออกแล้วหยุดยากเช่น โรคฮีโมฟีเลีย เป็นต้น หรือผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดหรือยายับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดอาทิเช่น เฮปาริน,วอร์ฟาริน,แอสไพริน โดยทั่วไปแล้วยังสามารถฝังเข็มรักษาโรคได้ ซึ่งแพทย์จะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในระหว่างการรักษา อย่างไรก็ตาม ก่อนการรักษาผู้ป่วยและญาติควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย

8.5) ทารก เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคจิต โรคสมองเสื่อมที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการรักษาได้ ควรงดฝังเข็ม

8.6)ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ติดเครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจ(pacemaker)ในร่างกาย ยังสามารถฝังเข็มใช้เครื่องกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ตามปกติ เพราะกระแสไฟฟ้าจากเครื่องกระตุ้นเข็ม มีปริมาณน้อยมาก และตำแหน่งเข็มที่ปักมักจะอยู่ห่างไกลจากเครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจมาก จึงไม่รบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจแต่อย่างไร

8.7) ผู้ป่วยที่มาฝังเข็ม หากเป็นหวัดมีอาการเล็กน้อยสามารถฝังเข็มต่อไปได้ แต่ถ้ามีไข้สูงหรือมีไอรุนแรงที่อาจทำให้เข็มที่ปักอยู่หลุดหรือมีโรคอื่นเกิดแทรกซ้อน ควรงดฝังเข็มไว้ก่อนชั่วคราว รอจนอาการทุเลาแล้วจึงมาฝังเข็มรักษาต่อไป