บทบาทของการฝังเข็มในการรักษาโรคอัมพาต
"โรคอัมพาตอัมพฤกษ์" ที่พบกันโดยทั่วไป มักจะมีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ซึ่งมีได้ 2 แบบคือ หลอดเลือดสมองตีบตัน ทำให้สมองขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองแตก ทำให้มีเลือดออกในสมอง เนื้อสมองจะถูกทำลาย การทำงานของเซลล์ประสาทหยุดชะงัก ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ
"อัมพาต"หมายถึง ภาวะกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงอย่างมากจนขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ หากยังพอขยับเคลื่อนไหวได้บ้างเรียกว่า “อัมพฤกษ์”
ผู้ป่วยมักจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง จึงเรียกว่า “อัมพาตครึ่งซีก” นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น ชาครึ่งซีก, ปากเบี้ยว, พูดไม่ชัด, กลืนลำบาก, เวียนศีรษะ เป็นต้น ในรายที่เป็นรุนแรง อาจหมดสติหรือชักกระตุก และเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ผู้ป่วยที่ผ่านระยะวิกฤติมาได้ มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออาการแขนขาอ่อนแรง ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองได้เหมือนเดิม ซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลกระทบสำคัญที่สุดต่อผู้ป่วยและญาติ
อาการอัมพาตเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์ประสาทในสมองและเส้นทางเดินของประสาทยนต์ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวได้รับความเสียหาย สมองไม่สามารถสั่งการบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อ จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ
วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พบว่า ระบบประสาทและสมองที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย จะมีกลไกในการฟื้นตัวขึ้นมาได้หากได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ซึ่งเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “ความยืดหยุ่นของระบบประสาท(Neuroplasticity)” ซึ่งแม้กระทั่งในผู้สูงอายุก็ยังคงมีกลไกการฟื้นตัวเช่นนี้อยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ร่างกายของคนเรามีศักยภาพในการฟื้นตัวและปรับตัวที่สูงมากนั่นเอง
การฝังเข็มเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถกระตุ้นกลไกการฟื้นตัวจาก"ความยืดหยุ่นของระบบประสาท"นี้ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจากเส้นเลือดสมองแตกรายหนึ่ง ได้รับการผ่าตัดเอาก้อนเลือดและเนื้อสมองบางส่วนออก (ลูกศรชี้แสดงในภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง)เมื่อ 2 ปี 3เดือนก่อนไปแล้ว หลังจากผ่านการฝังเข็มรักษา 7 ปี สามารถฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ (รายงานผู้ป่วยส่วนบุคคล 2002-2009)
การฝังเข็มรักษาโรคอัมพาตได้อย่างไร
การฝังเข็มเป็นการใช้เข็มปักลงไปกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดสัญญาณประสาทเข้าสู่สมอง การฝังเข็มสามารถกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองส่วนต่างๆ และทำให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมนต่างๆออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สารกระตุ้นการเติบโตของเส้นประสาท(nerve growth factors) เพื่อออกฤทธิ์ในการรักษาซึ่งมีอยู่หลายๆด้าน ที่สำคัญได้แก่
ความผิดปกติต่างๆในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่รักษาได้ด้วยการฝังเข็ม
ในการฝังเข็มรักษาโรคอัมพาต มักมีการใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นร่วมไปด้วย
วิธีการรักษา
โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะฝังเข็มรักษาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 10 ครั้งถือเป็น 1 ชุดการรักษา แล้วหยุดพักการรักษาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ระบบประสาทมีการปรับตัวและไม่ล้าจนเกินไป จากนั้นจึงทำการรักษาต่อไปอีกเป็นชุดๆ ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ สามารถฝังเข็มกระตุ้นระบบประสาทต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยแต่ละคนที่แพทย์และญาติจะปรึกษาร่วมกัน ทั้งนี้บางรายอาจต้องการเพียงแต่ให้สามารถช่วยเหลือตนเองเบื้องต้นได้ก็พอ แต่บางรายอาจต้องการฟื้นตัวได้จนปกติ
ควรเริ่มต้นฝังเข็มรักษาเมื่อไร?
การฝังเข็มรักษาโรคอัมพาตควรรีบทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากสมองและระบบประสาทที่เสียหายจะมีโอกาสฟื้นกลับคืนมาได้ดีกว่า และป้องกันมิให้กล้ามเนื้อลีบอยู่นานเกินไป จนเสื่อมสภาพไม่อาจฟื้นตัวได้
ผู้ป่วยอัมพาตระยะเฉียบพลันที่เพิ่งมีอาการภายใน 1 สัปดาห์ หากพ้นจากภาวะวิกฤตและมีสัญญาณชีพคงที่ สามารถเริ่มพิจารณาการรักษาได้
ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตมานาน ก็สามารถฝังเข็มรักษาได้เช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เป็นปกติทั้งหมด แต่จะช่วยทำให้ความพิการที่หลงเหลืออยู่นั้นทุเลาลง
การรักษาอื่นๆร่วมด้วย
โรคอัมพาตนั้นเป็นโรคที่สลับซับซ้อน ความผิดปกติของระบบประสาทที่เกิดขึ้นมักแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย การฝังเข็มจึงต้องทำร่วมไปกับการรักษาสาขาอื่นๆ โดยเฉพาะเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด จึงจะได้ผลการรักษาที่ดี
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอัมพาต มักมีพยาธิสภาพของโรคอื่นๆร่วมด้วย จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรคที่เป็นสาเหตุพื้นฐานเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การฟื้นตัวของระบบประสาทดำเนินไปได้ด้วยดีและป้องกันมิให้เกิดอัมพาตซ้ำอีก
ผู้ป่วยอัมพาตที่ได้รับยาป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วอร์ฟาริน รวมทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจที่ติดเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ(pacemaker)ในร่างกาย สามารถฝังเข็มรักษาร่วมไปได้
ความสำคัญของญาติและผู้ดูแล
ผู้ป่วยอัมพาตมักจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ความรู้สึกเสมอ เช่น เฉื่อยชา, ท้อแท้,ซึมเศร้า, หงุดหงิดฉุนเฉียว,โมโหง่าย นอกจากจะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมองและสภาพร่างกายที่อ่อนแอแล้ว ยังมีสาเหตุทางจิตใจที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการขาดกำลังใจ,ความเครียดกังวลและความกลัวอีกด้วย
ความผิดปกติด้านอารมณ์ดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของโรคอัมพาตเป็นอย่างมาก การให้กำลังใจและความช่วยเหลือจากญาติหรือผู้ดูแล คอยกระตุ้นช่วยทำกายบริหารให้แก่ผู้ป่วย จะช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น มีกำลังใจเข้มแข็ง กระตือรือร้นที่จะออกกำลังกายด้วยตนเอง มีความมานะอดทนในการรักษาเป็นเวลานาน เช่นนี้จึงจะทำให้ประสบผลสำเร็จในการรักษาที่ดีได้
การฝังเข็มรักษาโรคอัมพาต เพื่อฟื้นฟูกำลังแขนขาที่อ่อนแรงให้กลับคืนมานั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะการสร้างวงจรประสาทใหม่ขึ้นมาทดแทนจากเซลล์ประสาทในสมองที่เสียหายมายังแขนขาที่อัมพาตมีระยะห่างไกลกันมาก และต้องอาศัยปัจจัยประกอบหลายด้านมาเกี่ยวข้องด้วย ผุ้ป่วยมักต้องใช้เวลารักษาต่อเนื่องนานนับหลายเดือนกระทั่งหลายปี ดังนั้น เวลาและความอดทน รวมทั้งความร่วมมือของผู้ป่วยและญาติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อผลการรักษา